แผลฝีเย็บไม่ติดกัน เป็นผลจากการคลอดตามธรรมชาติ ทอดยาวจากช่องคลอดถึงทวารหนัก แพทย์จะเย็บแผลนี้หลังทารกคลอด โดยทั่วไปแผลจะสมานตัวเองตามธรรมชาติ กระบวนการหายของแผลมักใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยเริ่มติดกันในวันที่ 3 เริ่มหายในวันที่ 7 และหายสนิทภายใน 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม บางครั้งอาจเกิดภาวะแผลฝีเย็บแยกหรือไม่ติดกัน ซึ่งสร้างความกังวลให้คุณแม่หลังคลอดเป็นอย่างมาก โดยเราจะมาพูดถึงวิธีดูแลแผลหลังคลอดและให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการกับแผลฝีเย็บที่ไม่ติดกัน เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่นั่นเอง
แผลฝีเย็บไม่ติดกัน เกิดจากสาเหตุใด
การที่แผลฝีเย็บไม่ติดกัน เป็นภาวะที่อาจเกิดขึ้นหลังคลอด โดยมีหลายสาเหตุที่ทำให้แผลไม่ติดกันดังนี้
- อิริยาบทไม่เหมาะสม การนั่งแยกขามากเกินไปหรือนั่งขัดสมาธินานๆ อาจทำให้แผลฉีกขาดได้เสมอ
- การออกกำลังกายหักโหม ควรหลีกเลี่ยงท่าทางที่อาจกระทบแผล เช่น โยคะบางท่าหรือยิมนาสติก และอีกมากมาย
- การอยู่ไฟ เพราะความร้อนสูงอาจส่งผลต่อไหมละลายที่ใช้ในตอนเย็บแผลได้
- การมีเพศสัมพันธ์เร็วเกินไป ควรงดเว้นการสอดใส่ในระยะแรกตามคำแนะนำของแพทย์จะได้ไม่เกิดแผลฉีกขาด
- การทำงานหนัก การยกของหนักหรือขึ้นลงบันไดบ่อยๆ อาจทำให้แผลแยกได้
- การติดเชื้อ อาจเป็นอันตรายร้ายแรงหากลุกลามเข้ากระแสเลือด
- อาการท้องผูก การเบ่งแรงเพื่อถ่ายอุจจาระอาจทำให้แผลแยกกันได้
การระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแผลฉีกขาดนี้ได้
ต้องเย็บใหม่หรือไม่ หากแผลฝีเย็บไม่ติดกัน
หากคุณแม่พบว่าแผลฝีเย็บไม่ติดกัน มักเกิดคำถามว่าจำเป็นต้องเย็บใหม่หรือไม่ โดยทั่วไปแล้ว การเย็บใหม่มักเป็นวิธีการรักษาที่จำเป็นในเกือบทุกกรณี สิ่งสำคัญคือ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุดเมื่อพบปัญหานี้ การรีบเข้ารับการตรวจมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากมีสัญญาณของการติดเชื้อร่วมด้วย ในกรณีที่มีการติดเชื้อ แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการขูดเนื้อเยื่อบริเวณรอบแผลฝีเย็บก่อนที่จะทำการเย็บใหม่ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญเพื่อป้องกันการลุกลามของการติดเชื้อและเพื่อให้แน่ใจว่าการเย็บใหม่จะมีประสิทธิภาพ การดูแลและเอาใจใส่แผลฝีเย็บอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกจะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้ แต่หากเกิดปัญหาขึ้น การรีบปรึกษาแพทย์จะช่วยให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที การดูแลและตรวจสอบแผลอย่างเคร่งครัดจึงจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากแผลฝีเย็บไม่ติดกัน รวมถึงช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูแผลให้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย
แนะนำวิธีดูแลแผลฝีเย็บหลังคลอด ที่คุณแม่ควรรู้
การ ดูแลแผลหลังคลอดทำได้ไม่ยากดังนี้
- ทำความสะอาดและซับให้แห้งทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ
- เปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง หรือเร็วกว่านั้นหากมีน้ำคาวปลามาก
- เช็ดแผลด้วยน้ำอุ่นเช้า-เย็นทุกวัน
- แช่น้ำอุ่น 15 นาทีเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
- รับประทานอาหารมีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีไฟเบอร์สูง
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมเสี่ยงต่อการฉีกขาดของแผล เช่น อิริยาบทไม่เหมาะสม หรือมีเพศสัมพันธ์เร็วเกินไป
อาการผิดปกติหลังคลอด ที่คุณแม่ต้องระวัง
แผลฝีเย็บไม่ติดกันการดูแลสุขภาพหลังคลอดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่มือใหม่ นอกจากการดูแลลูกน้อยแล้ว คุณแม่ยังต้องเฝ้าระวังสุขภาพของตนเองด้วย มีอาการหลายอย่างที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะผิดปกติหลังคลอดซึ่งต้องได้รับการดูแลจากแพทย์โดยเร็ว อาการเหล่านี้รวมถึงการมีเลือดออกมากผิดปกติ น้ำคาวปลาที่มีกลิ่นเหม็นหรือสีผิดปกติ อาการปวดท้องน้อยรุนแรง ไข้สูง อาการที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะลิ่มเลือดอุดตัน เช่น เจ็บหน้าอกหรือขาบวม การอักเสบของเต้านม แผลผ่าตัดที่มีอาการบวมแดงหรือมีหนอง อาการของทางเดินปัสสาวะอักเสบ และภาวะซึมเศร้าหลังคลอดที่รุนแรง หากคุณแม่พบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาสูติแพทย์โดยทันทีเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม การเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดในช่วงหลังคลอดจะช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและสามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างเต็มที่ โรงพยาบาลมักมีบริการให้คำปรึกษาหลังคลอด คุณแม่สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายแพทย์ผ่านช่องทางต่างๆ ของโรงพยาบาล เช่น การค้นหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การติดต่อศูนย์และคลินิกเฉพาะทาง หรือสอบถามเกี่ยวกับแพ็คเกจและโปรโมชั่นสำหรับการดูแลหลังคลอด เพื่อให้มั่นใจว่าคุณแม่และลูกน้อยจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
แม้แผลฝีเย็บไม่ติดกันอาจส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ แต่ไม่ควรกังวลมากเกินไป หากเกิดปัญหา ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นและปรึกษาแพทย์ การป้องกันและดูแลที่ดีจะช่วยให้คุณแม่สามารถใช้เวลากับลูกน้อยได้อย่างมีความสุข โปรดจำไว้ว่า การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในช่วงหลังคลอด หากมีข้อสงสัยหรือกังวลใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเสมอ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง
บทความแนะนำเพิ่มเติม
1.การขับถ่ายของทารก และการแก้ไขหากลูกขับถ่ายผิดปกติ
2.ฝึกการขับถ่ายให้ลูกอย่างไรดี เริ่มเมื่อไหร่
3.ผลไม้แก้ท้องผูก ช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ ขับถ่ายง่าย ไม่ท้องผูกบ่อย
เรียบเรียงโดย : Mamaexpert Editorial Team